ทำไมเราไม่สามารถขยับตัวได้เมื่อเรากลัว?

สุขภาพ

ทำไมบางครั้งเราจึงขยับตัวไม่ได้ คล้ายเป็นอัมพาตเมื่อเรารู้สึกกลัว

คนส่วนใหญ่อาจคุ้นเคยกับรูปแบบเดิม คือการตอบสนองแบบการต่อสู้กับมันหรือ แบบหนีจากสิ่งนั้น เมื่อมีความกลัวเป็นตัวกระตุ้น 


ถ้างูกำลังจะหล่นลงมาจากบนเพดานตรงที่คุณอยู่ จากการตอบสนองที่บอกมา คุณมีทางเลือกสองทางคือ การสู้ กับงู หรือ รีบออกไปให้พ้นตรงนั้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

การตอบสนองโดยการต่อสู้ หรือหนีเป็นปฏิกิริยาการเอาชีวิตรอดซึ่งเป็นพื้นฐานและมีพลัง เมื่อสมองรับรู้ถึงอันตรายหรือภัยคุกคาม อะดรีนาลินจำนวนมากจะถูกหลั่งออกมาผ่านเส้นเลือดของเราเพื่อเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจให้เร็วขึ้น แล้วสูบฉีดเลือดไปที่กล้ามเนื้อ แล้วเคลื่อนความสนใจของเราไปแค่เรื่องเดียว คือ จะต่อสู้ หรือ จะหนีจากภัยคุกคามนั้น

เราเริ่มมุ่งแค่เพียงประเด็นเดียว ในช่วงเวลานั้นเราจะไม่ประมวลผลเรื่องอื่น เราจำไม่ได้เกี่ยวกับรายละเอียดปลีกย่อย เช่นสีของงู หรือ เราทำอะไร อย่างไรไป เพื่อเอาสิ่งนั้นออกจากตัวแล้ววิ่งไป หลายคนบอกว่า ” ทำไปโดยสัญชาตญาณ” โดยที่ไม่มีความจำที่ชัดเจนว่าพวกเขาออกมาพ้นได้อย่างไร หรือต่อสู้กับอันตรายนั้น

ใครที่จะต่อสู้มากกว่าจะหนี

คนที่ “เข้าหาสิ่งกระตุ้น” (เช่น คนต่างถิ่น หรือ ผู้ที่อยู่กับความเสี่ยง) มีแนวโน้มที่จะได้รางวัลจากการต่อสู้ในสถานการณ์ต่างๆ 

ตัวอย่างเช่น ถ้าถูกขอให้ลองซุปแมงมุมครั้งแรก คนที่มีแรงจูงใจอาจคิดว่า ” มันดูน่าสนใจนะ ฉันอยากรู้ว่ารสชาติจะอร่อยกว่าที่คิดรึเปล่า ? ถ้าไม่อร่อย อย่างน้อยฉันก็สามารถถ่ายรูปว่าฉันกินแมงมุมได้ แล้วโพสต์บน Facebook ให้เพื่อนๆเห็นและทึ่ง ” 

คนเหล่านี้อาจจะมีแนวโน้มที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เป็นภัยคุกคามมากกว่า และตอบโต้โดยการ “ต่อสู้”

คนที่ “เลี่ยงสิ่งกระตุ้น ” มีแนวโน้มที่จะรับรู้ความเสี่ยง / เชิงลบในสถานการณ์ต่างๆ “ซุปแมงมุมเหรอ มันจะปลอดภัยได้ยังไง น่าขยะแขยง อาจเป็นพิษแล้วฉันอาเจียรต่อหน้าคนอื่น ทำให้ขายหน้าอีก “

คนเหล่านี้อาจมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่คุกคามอยู่ ไม่สู้กับมัน

นอกจากการตอบโต้ภัยคุกคามส่วนใหญ่ที่ทำโดยไม่รู้ตัว รวมถึงบุคคลิกและนิสัยที่มีผลที่จะทำให้คุณมีธรรมชาติที่จะอยู่สู้หรือหนี ยังมีองค์ประกอบของการตัดสินและการตกลงใจเกี่ยวข้องด้วย เรามีแนวโน้มที่จะเข้าหาและต่อสู้ ถ้าเราคิดว่ามีอุปกรณ์หรือสิ่งที่จะจัดการกับภัยคุกคามนั้นได้

ถ้าเรามีคุณสมบัติที่จะจัดการกับงูได้อย่างเหมาะสม เราจะสู้เมื่องูตกลงมาใส่โดยไม่คาดคิด เราตัดสินได้ทันทีว่าเรามีทักษะในการจัดการกับมัน

มีการโต้ตอบภัยคุกคามที่เป็นไปได้ในแบบที่ 3 นั่นคือ “การหยุดนิ่ง” เพื่อโต้ตอบกับอันตราย ที่จริงการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามแบบนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีการปรับตัวที่ชัดเจนเหมือนการต่อสู้หรือหนี

การหยุดนิ่งเป็นแค่ส่วนของความแปลกใจที่ขยายออกมาหรือไม่

ความแปลกใจเป็นอารมณ์ที่เรารู้สึกเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เราจะหยุดและประมวลผลสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพื่อตัดสินใจว่าจะต่อสู้หรือหนีไปดี การแสดงออกทางสีหน้าของความแปลกใจมีจุดประสงค์คือ ที่ดวงตาเราเบิกกว้างขึ้นเพื่อให้มีทัศนวิสัยการมองรอบข้างดีขึ้น ทำให้การประมวลผลสิ่งรอบตัวดีกว่าเดิม เราอ้าปากและค้างไว้เพื่อเตรียมพร้อมที่จะกรีดร้องและวิ่ง 

คนเรายังมีการยืนเฉยเวลาประหลาดใจ เพราะพวกเขากำลังทุ่มพลังงานทั้งหมดเพื่อตัดสินใจว่าสิ่งที่กำลังเกิดอยู่ต่อหน้านี้เป็นภัยคุกคาม หรือเรื่องตลก หรือเรื่องที่ไม่มีอันตราย

บ่อยครั้งที่คนยืนดูเหตุการณ์ถูกวิจารณ์อย่างหนัก (อย่างไม่เป็นธรรม) ว่าไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยในทันทีระหว่างเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การทำร้ายร่างกาย แต่โดยทั่วไปแล้วคนเหล่านี้กำลังตกใจมากจึงยังยืนนิ่ง ในบางกรณี”การหยุดนิ่ง” จึงเป็นส่วนของการตอบสนองความ”แปลกใจ” ที่ขยายออกไป


การแกล้งตาย

การตอบสนองโดยการหยุดนิ่งเหมือนอัมพาตจะเกิดขึ้น เมื่อไม่มีทางให้คุณทั้งสู้หรือหนี นั่นคือคุณถูกยึดไว้หรือถูกขังอยู่ โดยไม่มีทางเลือกทั้ง 2 อย่าง

จากประวัติวิวัฒนาการของเรา สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นบ่อยที่สุดในระหว่างการล่าสัตว์ (เสือเขี้ยวดาบเก่งกว่าคุณ และคุณไม่มีทางออก) ดังนั้นเราจึงทำในสิ่งที่สัตว์ทั้งหลายทำคือ การแกล้งตาย

ในกรณีของการหยุดนิ่งที่แท้จริง ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างมีสติ แต่สมองส่วนดั้งเดิมของเราที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานการดำรงชีพและอยู่รอดเข้ามาคุมเราไว้ให้ทำแบบนั้นเพราะหวังว่าเสือจะเลิกสนใจเรา แล้วเดินจากไป

มีการวิเคราะห์ว่าการหยุดนิ่งอาจมีผลดีทางจิตวิทยา หลายคนที่ “หยุดนิ่ง” จะมีรายงานเรื่องความทรงจำที่บาดเจ็บน้อยหรือไม่มีเลย มันจึงเป็นวิธีที่อาจรักษาสติหรือปกป้องคุณจากอันตรายทางจิตได้

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณถูกตรึงหรือ สู้แรงไม่ได้ ในกรณีถูกข่มขืนหรือถูกทำร้ายร่างกาย การหยุดนิ่งอาจปิดระบบความสนใจของคุณเพื่อไม่ให้คุณประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์นี้ว่าน่าตกใจจนเกินกว่าจะรับซึ่งเป็นความรู้สึกที่รุนแรง มันจึงช่วยป้องกันไม่ให้คุณจำข้อมูลเกี่ยวกับการบาดเจ็บที่คุณกำลังประสบอยู่

ดังนั้นถึงคนเราจะตกตะลึงหลังจากอาการหยุดนิ่งจากอารมณ์ทุกอย่างของเรา มันเหมือนมีจุดประสงค์เพื่อการทำหน้าที่และปรับตัว

 

ที่มา: Flipboard
เรียบเรียง: SignorScience