มนุษย์เราจะมีชีวิตอยู่ยาวนานกว่าโลก ดวงอาทิตย์ และแม้แต่จักรวาล ได้อย่างไร ?

อวกาศ

มนุษย์เราจะมีชีวิตอยู่ยาวนานกว่าโลก ดวงอาทิตย์ และแม้แต่จักรวาล ได้อย่างไร ?

สงครามนิวเคลียร์ สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ภาวะการระบาดของโรคทั่วโลก วันนี้โลกของเราเผชิญกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นทุกรูปแบบ แต่ความเป็นไปได้ที่น่ากลัวเช่นนี้ ไม่มีอะไรเทียบได้กับสิ่งที่นักดาราศาสตร์บอกถึงเรื่องสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโลก 

ชะตาสุดท้ายของโลกเรา คือการถูกอบ ระเบิด และสลายตัวไปในที่สุด ไม่มีอะไรที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันหายนะครั้งนี้ ตามที่นักวิทยาศาสตร์ซึ่งศึกษาอนาคตในระยะยาวได้บอกไว้ รวมถึงนักดาราศาสตร์-ศาสตราจารย์ Gregory Laughlin จาก University of California กล่าวว่าโอกาสในการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ค่อนข้างสดใส จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิวัฒนาการที่ต่อเนื่องของสายพันธุ์ มนุษย์ควรจะสามารถอยู่รอดได้ในบางรูปแบบไปอีกนานหลังจากที่โลก ไม่มีอยู่อีกต่อไป แต่มนุษย์เราจะต้องทำการค้นหาดาวใหม่ๆ ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า สตาร์ฮอปปิ้ง ( Star hopping ) ซึ่งนำไปสู่ยุคที่เกี่ยวพันกับดาวเคราะห์จำนวนมาก (Multiplanet Era)

วิกฤติจักรวาลครั้งใหญ่ครั้งแรก จะเกิดขึ้นในราว 1.5 พันล้านปี เมื่อถึงจุดนั้น ตามการคาดคะเนโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม Andrew J. Rushby ที่ University of East Anglia ในประเทศอังกฤษ ดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างจะเริ่มสิ่งที่อาจเรียกว่า ซุปเปอร์โกลบอล (super – global) ซึ่งมีความร้อนมหาศาล โลกจะร้อนจนกระทั่งมหาสมุทรเดือด

ถึงตอนนั้นเราจะกังวลหรือไม่? 

เรามีเทคโนโลยีเพื่อสร้างฐานบนดวงจันทร์และดาวอังคารแล้ว ดังนั้น 1.5 ล้านปีจากนี้เราอาจจะตั้งรกรากไปทั่วในระบบสุริยะ และอาจไปถึงระบบดาวอื่นๆในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา เมื่อดวงอาทิตย์ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ดาวเคราะห์ดวงอื่นก็จะน่าสนใจมากขึ้น โลกจะเหมือนเครื่องปิ้งขนมปังที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ไม่ได้

แต่ดาวอังคารมาอยู่ในจุดอุณหภูมิที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่ได้ นักดาราศาสตร์มหาวิทยาลัย Cornell University Lisa Kaltenegger ได้ใช้แบบจำลองที่แสดงให้เห็นว่าดาวแดงนี้ สามารถอยู่ได้อย่างสบายไปอีก 5 พันล้านปี

ประมาณ 7.5 พันล้านปีนับจากนี้ ดวงอาทิตย์จะปล่อยก๊าซไฮโดรเจนของมัน และเปลี่ยนเป็นฮีเลียม ซึ่งจะทำให้มันโป่งออกกลายเป็นดวงอาทิตย์ขนาดยักษ์ โลกและดาวอังคารจะร้อนเหมือนถูกย่าง แต่ในทางกลับกัน เมื่อดวงจันทร์น้ำแข็งของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ถูกความร้อน พวกมันกลายเป็นโลกแห่งน้ำเขตร้อน กลายเป็นสถานที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดสำหรับอาณานิคมของมนุษย์ เราจะสามารถอยู่ที่นั่นได้ 2-3 ร้อยล้านปี

นับจากนี้ ประมาณ 8 พันล้านปี ดวงอาทิตย์ที่ลุกจ้า จะทำให้สภาพอากาศร้อนอย่างสุดที่จะทนได้ ตลอดเส้นทางที่ผ่านดาวพลูโตออกไป สิ่งที่ชัดเจนคือ สิ่งมีชีวิตจะอยู่ในระบบสุริยะไม่ได้อีกต่อไป

Laughlin ชี้ให้เห็นว่ายังมีดวงดาวอื่นๆอีก 200 พันล้านดวงที่อยู่ในทางช้างเผือก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่กับดาวเคราะห์ของพวกมัน บางทีมนุษย์รุ่นต่อๆไปจะมีความรอบรู้เกี่ยวกับการเดินทางด้วยความเร็วที่ใกล้เคียงกับแสง แม้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน การเดินทางระหว่างดาว ยังคงใช้เวลาในการวัดอยู่

ยานอวกาศเร็วที่สุดที่สร้างขึ้นตอนนี้ คือ Voyager 1 ซึ่งวัดแล้ว จะหนีจากดวงอาทิตย์ได้ที่ความเร็ว 38,027 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยความเร็วดังกล่าวจะใช้เวลาถึง 70,000 ปีในการไปถึงดาวที่ใกล้ที่สุด แต่มนุษย์ในอนาคตอาจสร้างยานที่เปรียบเหมือนเรือโนอาข้ามระหว่างดวงดาว เป็นเรือขนาดยักษ์ที่คนรุ่นต่อๆไปของผู้คนที่อยู่บนเรือนี้ จะมีชีวิตและจากไปหลายรุ่นบนดาวดวงอื่น ก่อนที่จะออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ ผู้ที่ไปอาศัยในอาณานิคมบนดาวอาจจะกระจายไปทั่วกาแล็กซีแล้ว ก่อนที่โลกจะร้อนจัด

ในตอนแรก นักเดินทางเหล่านั้นอาจเลือกที่จะไปตามดาวเคราะห์ขนาดกลางและดวงดาวสีเหลืองที่คล้ายกับโลกและดวงจันทร์ของเรา ซึ่งจะดูแลมนุษย์ได้ระยะหนึ่งเนื่องจากดวงอาทิตย์มีอายุ 12 พันล้านปีก่อนที่จะจบลง (เพราะดาวดวงหนึ่งมีอายุไขของมันแล้วตายไป) แต่มนุษยชาติยังสามารถก้าวต่อไปได้ เรามีเวลาพอ

 ในเวลา 50-1,000 ล้านปีนับจากนี้ แม้ว่าทรัพยากรทั้งหมดของดาวดวงใหม่ๆจะถูกใช้หมดไป ดาวที่ส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์รุ่นสุดท้ายจะดับลง มนุษย์จะต้องหาที่อาศัยอยู่ใหม่ ในกาแล็กซีทางช้างเผือกมีดาวแคระแดงหลายดวงที่ร้อนน้อยกว่าและมีแสงน้อยกว่าดวงอาทิตย์ของเรา แต่พวกมันคงอยู่ได้ยาวนาน Laughlin กล่าวว่า “ในอีก 10 ล้านล้านปีข้างหน้าดาวแคระแดงจะเข้ามาเป็นดาวที่คล้ายดวงอาทิตย์ของพวกเขา” ดังนั้น ดาวเคราะห์ที่อยู่รอบๆดาวแคระแดงเหล่านี้อาจเป็นบ้านของเราได้ ไปอีก 5 ล้านล้านปี แล้วพวกมันก็หมดอายุลง ซึ่งจะเข้าสู่ยุคของแรงดึงดูด (The Gravitational Era)

ดาวแคระแดงจะเป็นดาวรุ่นสุดท้าย เมื่อพวกมันหมดอายุไป จักรวาลจะมืดมิด ถึงจะเป็นเช่นนั้น Laughlin ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นจุดจบของสิ่งมีชีวิต แต่เราจะเข้าสู่สิ่งที่เขาเรียกว่า ยุคแรงดึงดูด

ในอนาคตของความมืดมิดนี้ เราอาจจะสร้างโรงไฟฟ้าอวกาศขนาดมหึมารอบๆ หลุมดำและใช้ประโยชน์จากมัน เช่นเดียวกับการดึงตุ้มถ่วงน้ำหนักนาฬิกาโบราณ หรือเราอาจใช้ความร้อนจากภายในของดาวเคราะห์เพื่อสร้างพลังงาน การมีปฏิสัมพันธ์ของแรงดึงดูดระหว่างวัตถุท้องฟ้าสร้างแรงเสียดทานซึ่งสามารถทำให้ดาวร้อนขึ้นภายในได้ ถึงแม้จะไม่มีดาวที่ส่องแสง

“ นั่นคือสิ่งเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดในการนึกถึงอนาคตของจักรวาลในระยะยาว เราอาจดูอ่อนประสบการณ์ ถ้าคิดถึงเพียงแค่สิ่งมีชีวิตในรูปแบบที่เหมือนโลกและ อาศัยคาร์บอนเป็นพื้นฐาน” Laughlin กล่าว

ยุคแรงดึงดูดที่จะเริ่มขึ้นราวๆ 15 ล้านล้านปีนับจากนี้ อาจจะยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาควินทิลเลี่ยน (quintillion) หรือนานกว่านั้น (ควินทิลเลี่ยน คือ เลข 1 แล้วตามด้วยเลขศูนย์ 18 ตัว) มันเป็นระยะเวลาล้านล้านเท่าของประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการจากวงศ์ลิงใหญ่หรือโฮมินิด (Homid) ทั้งหมดของเราบนโลก

 

ที่มา: Futurism
เรียบเรียง: SignorScience